สังคมป่วย…เอาไงดี

สังคมป่วย…เอาไงดี

 

“วัยรุ่นงานบวชยกพวกถล่มสนามสอบ GAT PAT” ข้อความพาดหัวข่าวออนไลน์จากสำนักข่าวหนึ่งเด้งขึ้นมาใน ฟีดของเฟสบุ๊ค หลังจากนั้นไม่นาน ข้อความพาดหัวข่าวทำนองเดียวกันแต่ต่างสำนักข่าว ก็เด้งขึ้นในแทบจะทุกหน้าของเพื่อนๆ ที่มีอยู่ในเฟสบุ๊ค รวมไปถึงเพจต่างๆ เช่นเดียวกัน ในตอนแรกคิดว่าคงเป็นการทะเลาะเบาะแว้งเล็กๆ น้อยๆ แต่หลังจากได้รับรู้ข่าวสารทั้งหมดก็ต้องอุทานออกมาเบาๆ เป็นสัตว์เลื้อยคลานตระกูลหนึ่ง เพราะถือว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำที่มีความผิดที่ร้ายแรงมาก เรียกได้ว่าเป็นคดีอุกฉกรรจ์

เหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงบ่ายของวันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ โดยเริ่มจากวันนั้น ทางวัดมีงานบวช ประกอบกับ โรงเรียนจัดให้มีการสอบ GAT PAT (GAT คือ General  Aptitude Test เป็นการสอบวิชาความถนัดทั่วไปว่ามีความพร้อมในการเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยมากน้อยแค่ไหน ส่วน PAT คือ Professional and Academic Aptitude Test เป็นการสอบวัด 7 วิชาความรู้พื้นฐานในการเข้าเรียนวิชาชีพด้านใดด้านหนึ่ง เพื่อเข้าสู่คณะที่เลือก เรียกง่ายๆ ว่า เปรียบเสมือนการสอบ Entrance และ การสอบ Admission ในสมัยก่อน ชี้อนาคตของคนๆ หนึ่งเลยทีเดียว

ตามปกติของวัด ที่มิใช่วัดหลวง มักจะอนุญาตให้กลุ่มผู้บวชจัดงานรื่นเริงได้ตามสมควร งานนี้กลุ่มผู้บวชจึงจัดงานกันอย่างสุดเหวี่ยง แต่เผอิญว่าวันนั้น โรงเรียนซึ่งอยู่ห่างจากวัดเพียงแค่ทางรถไฟกั้นขวาง ก็จัดให้มีการสอบระดับประเทศเช่นเดียวกัน ทางโรงเรียนจึงขอความร่วมมือไปยังวัดให้ลดการใช้เสียงลง ทางวัดจึงมาบอกทางเจ้าภาพผู้จัดงาน แต่เสียงสวรรค์มิอาจส่องถึงขุมนรก ทางผู้จัดงานจึงจัดเต็มเล่นดนตรีต่อไป ร้อนถึงเจ้าอาวาส แม้จะเพิ่งผ่านการผ่าตัดขามาต้องลงมาคุยเองว่า “ถ้าไม่หยุดใช้เสียง ก็จะไม่บวชให้” เมื่อได้ยินแบบนี้เข้า ก็จำต้องหยุด แต่ก็แสดงความหยาบช้าออกมา โดยการปาแก้วลงพื้นด้วยความไม่พอใจ

 ดังนั้น เมื่อมีการแห่รอบโบสถ์ จึงไม่มีการเล่นมหรสพใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งภายใต้การแห่นาคที่มีความสงบเรียบร้อยนี่เอง ได้สร้างความขุ่นข้องหมองใจให้กับญาติๆ ของพระผู้บวช ประกอบด้วยฤทธิ์สุรา ทำให้มีการยกพวกเข้าไปสร้างความอุบาทว์จัญไรประการต่างๆ ต่อทั้งครูอาจารย์ นักเรียนผู้หญิง ผู้ชาย ผอ.โรงเรียน และบุคลากรอื่นๆ

นอกจากจะมีพฤติกรรมที่อุบาทว์แบบนี้แล้ว สิ่งที่น่ากลัวกว่านั่นคือ “ระบบความคิด” ของคนกลุ่มนี้และคนรอบข้าง รวมไปถึงกลุ่มวัยรุ่นบางกลุ่ม ที่บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า สังคมไทยกำลังป่วยอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการโทษทุกอย่างยกเว้นการโทษตัวเอง สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพของประชากรไทยที่ด้อยลง จนกระทั่งมีคำเรียกจากคนในสังคมว่า “ตลาดล่าง”

ตลาดล่าง (Low End Market) จริงๆ แล้วใช้ในวงการ Marketing เป็นการแบ่ง Segment ทางการตลาดแบบหนึ่งตามกำลังซื้อ (Affordable) ของผู้บริโภค ต่อมาได้กลายเป็นคำเหยียดในสังคม โดยใช้เรื่องของความประพฤติเป็นตัวแบ่ง โดยไม่สนเรื่องของฐานะทางการเงินและสังคม

การที่คุณภาพของประชากรไทยด้อยลงอย่างต่อเนื่อง เกิดจากปัจจัยที่ค่อนข้างหลากหลาย แต่โดยรวมๆ แล้ว เกิดจากจุดจุลภาคเล็กๆ อย่าง “สถาบันครอบครัว” เป็นสำคัญ โดยเฉพาะการตั้งท้องก่อนวัยอันควร ซึ่งจากข้อมูลรายงานการคลอดในประเทศไทยของสำนักอนามัยการเจริญพันธุ์ มีแม่วัยรุ่นเป็นสัดส่วนถึง 15% อันดับ 2 ในอาเซียน เรียกได้ว่า คนพร้อม “ไม่ท้อง” คนท้อง “ไม่พร้อม” เมื่อวัยวุฒิยังน้อย วุฒิภาวะก็น้อยตามไปด้วย สิ่งที่ตามมาคือ การเลี้ยงดูแบบตามมีตามเกิด ปล่อยปละละเลย ขาดการอบรมสั่งสอนที่ดี เมื่อบุคคลเหล่านี้เติบใหญ่ ก็ยากที่จะกลายมาเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพในสังคมได้

นึกภาพถึงกลุ่มบุคคลที่ไม่มีคุณภาพ แล้วรวบรวมบุคคลเหล่านี้ไว้ด้วยกันในชุมชนๆ หนึ่ง กลายเป็นระบบนิเวศที่ไม่โสภานัก เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่หล่อหลอมสิ่งเลวร้ายไว้ด้วยกัน โดยเฉพาะยาเสพติดและอาชญากรรม แล้วนึกภาพตามต่อว่า ประเทศเต็มไปด้วยชุมชนแบบนี้ กระจัดกระจายอยู่ตามมุมต่างๆ ไม่ต่างจากคนเป็นมะเร็งภาวะลุกลาม

เราซึ่งเป็นหนึ่งในจุลภาคของประเทศเช่นเดียวกัน จำเป็นต้องสร้างภูมิคุ้มกันให้ตนเอง เริ่มตั้งแต่การปลูกฝังสิ่งที่ดีและถูกต้องให้กับรุ่นต่อๆ ไป เพื่อเข้าไปล้างและกลืนกินสิ่งเลวร้ายต่างๆ ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ลำดับต่อมาคือ การมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต ทั้งต่อตนเองและครอบครัว อย่างที่เห็นได้ว่าการเกิดอาชญากรรมต่างๆ มีมากขึ้นทุกวันจนกลายเป็นเรื่องปกติ ความเกรงกลัวต่อกฎหมายของผู้คนก็ลดลง ดังนั้นการมีร่างกายที่แข็งแรงอย่างน้อยก็ยังพอช่วยสร้างโอกาสในการเอาตัวรอดให้สูงขึ้น หรือ สามารถป้องกันคนในครอบครัวเมื่อเกิดภาวะฉุกเฉินได้บ้าง

อีกวิธีในการป้องกันความเสี่ยง คือ การทำประกันความเสี่ยงให้กับชีวิตและทรัพย์สินของท่านเอง รวมไปถึงการหาอุปกรณ์ที่จะช่วยเหลือหรือเป็นพยานให้ท่าน เช่น กล้องวงจรปิดที่ชัดเจน ใช้งานได้ เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น เราคงเคยได้ยินกันบ่อยๆว่า บ่อยครั้งที่ผู้บริสุทธิ์ซึ่งเป็น ประชากรที่มีคุณภาพ บ้างเป็นหัวหน้าครอบครัว บ้างเป็นเด็กที่กำลังมีอนาคตสดใส ต้องสังเวยกลายเป็นเหยื่อบริสุทธิ์ ให้กับการกระทำที่เลวร้ายของกลุ่มตลาดล่าง

แน่นอนว่า ภายใต้ความเลวร้ายทางความคิดของกลุ่มตลาดล่าง มักจะผลักความผิดไปให้ผู้อื่น โดยที่ตนเองจะเป็นฝ่ายถูกเสมอ ไม่ว่าเรื่องที่กระทำจะเลวร้ายอำมหิตดุจสัตว์เดรัจฉานมากน้อยแค่ไหนก็ตาม การทำประกันความเสี่ยงไว้จะช่วยให้เราสามารถลดความเสียหายจากเหตุการณ์เหล่านี้ได้บ้าง ไม่มากก็น้อย

เมื่อมองกลับไปที่ต้นเหตุของปัญหา ก็ได้แต่ส่ายหัว เพราะมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เลยแม้แต่น้อย ตราบใดที่สังคมไทยยังไม่มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ผู้มีเส้นสายและอิทธิพลมืดต่างก็ช่วยเหลือคนผิดที่อยู่ในความคุ้มครองของตน คนก็ย่อมไม่กลัวที่จะกระทำความผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยเฉพาะพวกใจหยาบช้าในคราบเยาวชน ที่รู้ว่าตนเองมีความเป็นเยาวชนคุ้มหัวอยู่ จะทำอะไรก็ได้

สุดท้ายนี้ก็คงแล้วแต่ความคิดเห็นของแต่ละท่าน แต่ส่วนตัวแล้ว หลังจากที่ได้รู้ว่า แม้แต่ใบแจ้งความของนักเรียนหญิงที่ถูกลวนลามยังหายในชั่วระยะเวลาเพียงข้ามคืน

พุทธสุภาษิตที่ว่า “อัตตาหิ อัตตโน นาโถ” คงเป็นสิ่งที่ต้องยึดไว้ให้มั่นมากที่สุด