สาส์น

สาส์น

 

เนื่องใน 4-6 พฤษภาคม 2562 พระราชพิธีราชาภิเษกและพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสของ “พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ มหิศรภูมิพลราชวรางกูร กิติสิริสมบูรณอดุลยเดช สยามินทราธิเบศรราชวโรดม บรมนาถบพิตร พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว” รัชกาลที่ 10 แห่งราชวงศ์จักรี ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม, ข้าพระพุทธเจ้าผู้เขียน ขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาสถวายพระพรชัยมงคล ขอพระองค์ทรงพระเจริญ สถิตเป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยสืบไป ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ

ผมเชื่อว่านอกจากขั้นตอนต่างๆ ของพระราชพิธีแล้ว สิ่งหนึ่งที่ทุกคนต่างรอคอยกันก็คือ “พระปฐมบรมราชโองการ” หากเปรียบเปรยแล้ว สิ่งนี้เปรียบเสมือนคำมั่นสัญญาของพระมหากษัตริย์ที่ทรงมีต่อปวงประชาทุกหมู่เหล่า พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระปฐมบรมราชโองการต่อปวงพสกนิกรชาวไทยใจความว่า “เราจะสืบสานรักษาและต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป” นอกจากนี้ยังทรงหลั่งทักษิโณทกตั้งพระราชสัตยาธิษฐานจะทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ ปกครองราชอาณาจักรไทยโดยทศพิธราชธรรมจริยา นี่คือคำมั่นสัญญาที่พระองค์มีต่อพสกนิกรของพระองค์ ต่อยอดจากประโยชน์สุขทั้งหลายที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ทรงพระราชทานไว้ให้ก่อนหน้า ดั่งคำมั่นสัญญาของพระองค์ที่ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”

ในเชิงของศาสนา พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสประกาศพระองค์เป็นพุทธศาสนูปถัมภก หรืออีกนัยหนึ่งคือ พระมหากษัตริย์ผู้ทะนุบำรุงพระพุทธศาสนา ศาสนาพุทธเชื่อว่า การให้ธรรมทาน การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง เรียกว่า ทานบารมี ดังนั้นผมจึงอยากจะนำเอาพระพุทธประวัติบางส่วนมาเล่าให้ทุกท่านฟัง เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ณ ที่นี้ครับ เรื่องที่ผมจะเล่าให้ฟังคือ “นางจิญจมาณวิกา ผู้ถูกธรณีสูบ”

ในสมัยพระพุทธกาล (ก่อนพุทธศักราชที่ 1) ภายหลังการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า พระองค์ได้ทรงออกเผยแพร่คำสั่งสอนที่พระองค์ได้ตรัสรู้ให้แก่หมู่ชนทั้งหลาย จนทำให้พระพุทธศาสนาได้แพร่หลายออกไปอย่างกว้างขวาง นำพามาซึ่งแรงศรัทธาอันมั่นคงยิ่งจากรอบทั่วสารทิศ ตั้งแต่กษัตริย์จนถึงยาจก แน่นอนว่าเมื่อมีผู้ได้ประโยชน์ ก็ต้องมีผู้เสียประโยชน์เช่นเดียวกัน และผู้ที่เสียประโยชน์ในที่นี้ก็คือ บรรดาอาจารย์ของลัทธิความเชื่อต่างๆ หลากหลายสำนัก ที่บรรดาลูกศิษย์ต่างย้ายไปเคารพพระพุทธศาสนากันทีละคน สองคน จนหลายสำนักต้องปิดตัวลง ที่ยังไม่ปิดก็ร่อแร่ๆ จะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่ เราเรียกกลุ่มคนพวกนี้ว่า “พวกเดียรถีร์” หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ นักบวชนอกศาสนาพุทธในประเทศอินเดีย เช่น ปริพาชก นิครนถ์ ดาบส อเจลก (ชีเปลือย)

พวกเดียรถีร์เห็นว่า หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ พวกเราคงต้องกินแกลบแสบตูดเป็นแน่แท้ จึงต้องกำหนดวาระการประชุมขึ้นมาเพื่อหารือว่าจะเอายังไงกันดี สุดท้ายด้วยสมองอันปราดเปรื่องในเรื่องทางชั่ว ก็ได้ข้อสรุปว่า จะทำลายชื่อเสียงของพระพุทธเจ้าให้สิ้นซากไปจากโลกนี้ โดยใช้แผน “นารีพิฆาต” กล่าวคือ จะส่งลูกศิษย์สาวชื่อ นางจิญจมาณวิกา ที่มีรูปลักษณ์สวยงาม คนนึงของสำนักเข้าไปทำลายชื่อเสียงของพระพุทธเจ้าตามที่ได้วางแผนกันเอาไว้ เพื่อไม่ให้เสียเวลา ประชุมตอนเช้าเสร็จ ก็เริ่มแผนตอนเย็นเลย โดยเริ่มต้นจากการที่นางเดินถือพวกเครื่องหอมต่างๆ ไปยังวัดพระเชตะวัน ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงประทับอยู่ ไปวันแรกๆ ก็ไม่มีอะไร เหมือนคนไปวัดไหว้พระตามปกติ แต่นานเข้าชาวบ้านก็ชักสงสัยว่าไปทำอะไรที่วัดบ่อยๆ ตอนเย็น แล้วก็ออกมาตอนกลางคืน นางก็ตอบแต่ว่า “พวกท่านอย่ารู้เลย” ตอบแบบนี้คนก็ยิ่งอยากรู้มากขึ้นไปอีก

พอเห็นว่าแผนขั้นแรกเริ่มสำเร็จ นางก็เริ่มแผนขั้นต่อมา พอใครถามก็เปลี่ยนคำให้แรงขึ้นว่า “ข้าพเจ้าไปค้างแรมกับพระสมณโคดมในพระคันธกุฎีวัดพระเชตะวัน” เพื่อความสมจริงสมจัง อีก 3-4 เดือนต่อมา ก็เริ่มแต่งตัวเป็นคนท้อง พอใครถามว่าท้องกับใครก็ตอบว่า ท้องกับพระพุทธเจ้า แรกๆก็ไม่มีใครเชื่อ แต่น้ำหยดลงหินทุกวัน หินยังกร่อน จะเอาอะไรกับใจคน หลังจากนั้นคนก็เริ่มมาวัดน้อยลงเพราะส่วนหนึ่งก็เชื่อว่าเป็นแบบนั้นจริงๆ พอผ่านไปเข้าเดือนที่ 8-9 นางก็หาไม้กลมมาผูกที่ท้องทับด้วยผ้า แสดงเหมือนคนท้องจริงๆ (ยิ่งกว่าดารารางวัลออสการ์) พวกเดียรถีร์เห็นแบบนี้ก็กระหยิ่มยิ้มย่องว่าเสร็จพวกข้าแน่ คงต้องถึงเวลาเผด็จศึก (Endgame) กันซักที

ในวันหนึ่งที่พระพุทธเจ้ากำลังนั่งแสดงธรรมให้พระ ให้หมู่ชนทั้งหลายฟังอยู่นั้น นางก็เข้าไปยืนต่อหน้าพระพักตร์พระองค์ท่ามกลางหมู่ชนทั้งหลาย พร้อมทั้งพรั่งพรูคำพรรณนาต่างๆ มากมายออกมา เปรียบเสมือนภรรยาที่สามีไม่ดูแลแม้ยามท้อง พระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสว่า เรื่องนี้จะจริงหรือไม่ มีแต่พระองค์กับนางเท่านั้นที่รู้ ท้าวสักกะเทวราชได้รู้เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวก็สั่งให้เทวดาไปแปลงเป็นหนูกัดเชือกผูกท่อนไม้ที่ท้องนางจิญจมาณวิกาขาด ท่อนไม้หล่นลงมาต่อหน้าที่ชุมนุม ความจริงถูกเปิดเผยต่อชาวบ้านและพระสงฆ์ทั้งหลาย เมื่อเป็นแบบนี้นางจะอยู่ให้ฝูงชนรุมสหบาทาอยู่ไย วิ่งหนีให้ไวจะดีกว่า ปรากฏว่าวิ่งไปได้ไม่ไกล ความชั่วคงจะทำให้นางตัวหนักมาก แผ่นดินรับไม่ไหว แยกเป็น 2 ส่วนสูบนางลงไป พอตายแล้วนางก็ไปเกิดในอเวจีมหานรกชดใช้สิ่งที่ต้นได้สร้างไว้…จบ

หากมองลึกลงไปเราจะได้บทเรียนหลายอย่างจากเรื่องนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบัน ท่ามกลางโลกที่หมุนไปอย่างรวดเร็ว ข่าวสารทางลบต่างๆ ถูกสร้างขึ้นเพื่ออำนวยประโยชน์ให้แก่ผู้มุ่งหวัง ข้อมูลหลายอย่างที่ผมเคยได้รับมาก็มาจากแหล่งที่เรียกว่า “ไม่มีแหล่ง” หรือ “เขาเล่ามา” เขาคือใครก็ไม่รู้แหละ แต่เขาเล่ามาแบบนี้ เมื่อผสมกับความคิดทางลบและการมโนของคนทั่วไป ก็เลยยิ่งไปกันใหญ่ สาส์นจึงกลายเป็นอาวุธที่ทรงประสิทธิภาพของผู้มุ่งหวังทำลาย

เราซึ่งเป็นผู้รับสาส์น (เป็นส่วนใหญ่) จึงต้อง คิด วิเคราะห์ และ แยกแยะ อย่างจงหนักก่อนจะเชื่ออะไร เพราะทุกด้านของชีวิตไม่ได้สร้างขึ้นมาแค่วันเดียว แต่อาจถูกทำลายเพียงในเสี้ยวเวลา จากข้อมูลห่วยๆ ที่รับมา